ในภาพยนตร์ Despicable Me ภาคแรก ในเวลา 7 ปี กรู อดีตมหาวายร้ายที่กลายมาเป็นสมาชิกหน่วยต่อต้านผู้ร้าย ได้กลับสู่ยุคใหม่ที่น่าตื่นเต้นและแสนกล้าหาญของเหล่ามินเนี่ยนที่แสนซุกซนและสุดวายป่วง ในผลงานของอิลลูมิเนชั่น เรื่อง Despicable Me 4
ติดตามความสำเร็จระดับที่เป็นปรากฏการณ์ของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์ปี 2022 ซึ่งเป็นผลงานของอิลลูมิเนชั่น เรื่อง Minions: The Rise of Gru ที่ทำรายได้จากทั่วโลกไปเกือบๆ $1 พันล้านเหรียญ บัดนี้ ภาพยนตร์แฟรนไชส์แอนิเมชั่นระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องนี้ ได้เริ่มต้นบทใหม่ เมื่อ กรู (สตีฟ คาเรลล์ นักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์) และลูซี่ (คริสเตน วิก ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์) และลูกสาวของพวกเขา ซึ่งได้แก่ มาร์โก้ (เมอรานด้า คอสโกรฟ), อีดิธ (ดาน่า เกเยอร์) และแอ็กเนส (แมดิสัน โพแลน) ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวกรู นั่นก็คือ กรูจูเนียร์ ผู้เกิดมาเพื่อทรมานผู้เป็นพ่อ
กรูยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูรายใหม่อย่าง แม็กซิม เลอมาล (วิลล์ เฟอร์เรลล์ ผู้คว้ารางวัลเอ็มมี่) และวาเลนติน่า แฟนสาวตัวอันตรายของเขา (โซเฟีย เวอร์การ่า ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่) ครอบครัวกรูถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องหนี พวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองเมย์ฟลาวเวอร์อันงดงาม
Despicable Me 4 อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นแบบนันสต็อป และเต็มไปด้วยอารมณ์ขันสุดฮาที่เป็นเอกลักษณ์ประจำของอิลลูมิเนชั่น กำกับโดยผู้ร่วมสร้างแก๊งมินเนี่ยนขึ้นมาอย่าง คริส เรโนด์ ผู้กำกับที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว (Despicable Me, The Secret Life of Pets) และอำนวยการสร้างโดย คริส เมเลแดนดรี, p.g.a. ผู้ก่อตั้งที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์และดำรงตำแหน่งซีอีโอของอิลลูมิเนชั่น และ เบร็ตต์ ฮอฟฟ์แมน (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เจ้าของผลงานที่ผ่านมาอย่าง The Super Mario Bros. Movie และ Minions: The Rise of Gru) ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกำกับโดย แพทริค เดอลาจ (ไดเร็คเตอร์ฝ่ายแอนิเมชั่นของ Sing 2 และ The Secret Life of Pets 2) บทภาพยนตร์เป็นฝีมือการเขียนบทโดย ไมก์ ไวต์ ผู้สร้างระดับมือรางวัลเอ็มมี่ จากผลงานเรื่อง White Lotus และมือเขียนบทผู้ช่ำชองของภาพยนตร์ Despicable Me ทุกภาคอย่าง เคน ดอริโอ
ในดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลของความบันเทิงแบบแอนิเมชั่น ภาพยนตร์แฟรนไชส์ Despicable Me หยัดยืนอย่างโดดเด่นในฐานะผู้ทรงอิทธิพล เป็นการยืนอย่างมั่นคงในฐานะภาพยนตร์แฟรนไชส์แอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ โดยได้สะสมยอดรายได้รวมไปกว่า $4.6 พันล้านดอลล่าร์ และยังคงเดินหน้าเก็บรายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ความยั่วยวนของจักรวาล Despicable Me ยังขยายมากไปกว่าตัวเลขในบ็อกซ์ออฟฟิศ เพราะโดยหัวใจแล้ว เรื่องราวการผจญภัยที่เป็นที่รักเรื่องนี้ จับใจคนดูทั่วโลกเพราะตัวละครซึ่งเป็นที่รัก งานแอนิเมชั่นที่มีชีวิตชีวา และอารมณ์ขันที่ไม่มีขอบเขตจำกัดในเรื่องภาษาหรือวัฒนธรรม
การเล่าเรื่องราวของแฟรนไชส์เรื่องนี้ ซึ่งจับเหตุการณ์การเดินทางที่ไม่เป็นไปตามขนบของมหาวายร้ายที่กลายเป็นพ่อคน และเสน่ห์ที่ยากจะต้านทานของพวกมินเนี่ยน มันเป็นเรื่องราวที่โดนใจด้วยการเฉลิมฉลองถึงพลังของความรักและครอบครัว “นับแต่ที่เราเปิดตัวฉายภาพยนตร์ Despicable Me ภาคแรกในปี 2010 คนดูของเราเติบโตไปพร้อมกับภาพยนตร์ชุดนี้ครับ” คริส เมเลแดนดรี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของอิลลูมิเนชั่น กล่าว “เรามีแฟนๆ ที่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก และตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นวัยรุ่นกันแล้ว ขณะที่อีกหลายคนที่เคยเป็นวัยรุ่นในตอนนั้น ก็กลายเป็นพ่อแม่คนแล้วในตอนนี้ กับภาพยนตร์ภาคใหม่แต่ละภาค เราจะสร้างออกมาด้วยระดับของความตั้งใจและความทะเยอทะยานในแบบเดียวกับที่เราเคยทำกับภาพยนตร์ภาคแรก ทีมสร้างสรรค์ผลงานของเรา ตั้งแต่ผู้กำกับ มือเขียนบท จนถึงนักแสดงและเหล่าศิลปิน ต่างมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ความคิดริเริ่มและความเป็นเลิศ และจะระลึกถึงความคาดหวังของคนดูอยู่เสมอ เราทุ่มเทที่จะรักษามาตรฐานที่แฟนๆ ของเราคาดหวัง และเพื่อให้แน่ใจว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะสร้างความสุขและเสียงหัวเราะ เรารู้สึกขอบคุณอย่างมากต่อความภักดีที่พวกเขามีต่อการเดินทางยาวนานถึง 15 ปีนี้ ผมมีความภาคภูมิใจใน Despicable Me และภาคต่ออย่างมาก การได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับคนหลายรุ่นและหลายวัฒนธรรม นำมาซึ่งความสุขที่ใสบริสุทธิ์ มันคือสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ ครับ”
หัวใจของความสำเร็จของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ก็คือ คริส เรโนด์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว การเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยจินตนาการของเขา และความกล้าหาญที่จะสร้างโลก คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างตัวตนของมันขึ้นมา นับแต่เริ่มต้น เรโนด์ได้สร้างพื้นที่ในการเล่าเรื่องของ Despicable Me โดยมีทั้งความลึกและความถูกต้อง เป็นการสร้างโลกที่ผสมรวมจินตนาการเข้ากับสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างไร้รอยต่อ การได้กำกับภาพยนตร์สองภาคแรก รวมถึงภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง The Secret Life of Pets ของอิลลูมิเนชั่น และเรื่อง The Lorax เรโนด์ได้ช่วยผลักดันภาพยนตร์แฟรนไชส์ Despicable Me ให้ทะยานขึ้นสู่ความสูงในแบบที่ยังไม่เคยมีมาก่อน
เรโนด์เน้นย้ำว่าการที่จะทำให้แฟรนไชส์ที่สร้างกันมายาวนานมีความยั่งยืนได้นั้น ต้องอาศัยการรักษาความสดใหม่ของมันเอาไว้ “เป้าหมายของเราก็คือการตอบสนองต่อความรักที่คนดูมีต่อตัวละครเหล่านี้ ขณะที่จะต้องใส่องค์ประกอบใหม่ๆ เข้าไปเพื่อเติมพลังให้กับการเล่าเรื่องครับ” เรโนด์กล่าว “เช่นเดียวกับการเติมความลึกให้กับตัวละครต่างๆ ในภาพยนตร์แฟรนไชส์ James Bond นั่นแหละครับ เราเจาะลึกลงไปในโลกมหาวายร้ายและพระเอกของกรู ผสมรวมอย่างน่าติดตามกับชีวิตครอบครัวของเขา ภาพยนตร์แต่ละภาคจะมีความท้าทายใหม่ๆ สำหรับกรู ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวและมีโครงเรื่องที่น่าติดตามที่จะเรียกคนดูให้กลับเข้าโรงภาพยนตร์อีกครับ”
ความสำเร็จอันยั่งยืนของ Despicable Me เกิดจากความสามารถที่จะปล่อยองค์ประกอบที่คาดไม่ถึงอย่างต่อเนื่อง “ก็เหมือนที่ครั้งหนึ่ง คริส ร็อค เคยพูดถึงการแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนว่า เซอร์ไพรส์คือกุญแจสำคัญ คุณต้องปล่อยเซอร์ไพรส์ทุกๆ 10 วินาทีครับ” เรโนด์บอก “ผมเชื่อว่ามันสามารถนำไปใช้กับการเล่าเรื่องได้ด้วยครับ ไม่ถึงกับต้องมีจุดหักมุมเซอร์ไพรส์แรงๆ แบบใน The Sixth Sense, แต่การมีเซอร์ไพรส์แบบเบาๆ ก็สำคัญมากในการดึงความสนใจของคนดู ถ้าคนดูสามารถเดาเรื่องได้ล่วงหน้า 30 นาที เราเอาคนดูไว้ไม่อยู่แน่ มันเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ไม่ว่าจะในส่วนของตัวละครหรือการพัฒนาพลอตเรื่อง มันช่วยดึงคนดูให้กลับมาครับ เป็นเรื่องของการโปรยช่วงเวลาเหล่านั้นเอาไว้ตลอดภาพยนตร์ทั้งเรื่องเพื่อรักษาความรู้สึกสดใหม่และดึงคนดูเอาไว้ได้”
การทุ่มเทให้กับการสร้างเซอร์ไพรส์ยังถูกขยายออกไปอีกด้วยการให้เสียงกับตัวละคร “ใน Despicable Me 4 เราอยากแนะนำตัวละครที่ไม่เพียงแต่เข้ามาเติมเต็มให้กับทีมนักแสดงที่เรามีอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังจะต้องนำมาซึ่งจังหวะและความท้าทายใหม่ๆ ให้กับโลกของกรูด้วย” ผู้อำนวยการสร้าง เบร็ตต์ ฮอฟฟ์แมน กล่าว “การอุทิศตัวและการตีความอย่างสร้างสรรค์ของเหล่านักแสดง ช่วยเพิ่มความลึกและเสน่ห์ให้กับตัวละครของเราครับ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมศิลปินและแอนิเมเตอร์ระดับที่เป็นปรากฏการณ์ของเราที่จะสร้างภาพที่ให้ความบันเทิงมากที่สุดจากภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ทั้งหมดครับ”
เมื่อดำดิ่งลึกลงไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เรโนด์พบว่ามันสอดคล้องไปกับประสบการณ์ของเขาเอง “ความวุ่นวายของครอบครัวที่ต้องย้ายที่อยู่ใหม่นั้นโดนใจผมมากครับ” เรโนด์กล่าว “มันเตือนให้ผมนึกถึงประสบการณ์ของผมเองเมื่อตอนที่ต้องย้ายบ้านสมัยเป็นวัยรุ่นครับ บทภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจความท้าทายต่างๆ ที่มากับการต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่อย่างชาญฉลาด ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเข้ากันกับประสบการณ์ของคนจำนวนมาก ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับที่จะเจอกับความซับซ้อนของการต้องปิดบังตัวตนจริง ไปพร้อมกับการย้ายที่อยู่ แต่การผสมผสานของเรื่องราวแนวตลกกับดราม่าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไมก์ มันช่วยส่องประกายให้กับเรื่องราวนี้ครับ”
ในการสร้างหัวใจที่มีอารมณ์ขันของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางทีมงานได้ดึงแรงบันดาลใจมาจากงานตลกคลาสสิคหลายเรื่อง “เรามักมองดูงานการ์ตูนของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส อารมณ์ขันที่ไร้กาลเวลาของ บัสเตอร์ คีตัน และเสน่ห์ที่ยากจะต้านทานของ ปีเตอร์ เซลเลอร์ส เพื่อหาแรงบันดาลในการสร้างอารมณ์ขันครับ” เรโนด์บอก “อิทธิพลเหล่านี้เป็นตัวกำหนดโทนสำหรับอารมณ์ขันนับแต่เริ่มต้น และเป็นเพราะการผสมผสานของตลกท่าทางที่มีลูกเล่น แต่ก็ดูไร้สาระนี่เองที่ทำให้ภาพยนตร์ของเรามีความโดดเด่น โดยเฉพาะในโลกแอนิเมชั่นที่ซึ่งอารมณ์ขันยังไม่ใช่บรรทัดฐานนิยม เมื่อย้อนกลับไปสมัยที่ Despicable Me เปิดตัวฉาย”
อีกทั้งการดึงคนหน้าใหม่เข้ามาในทีมผู้สร้างสรรค์ เป็นการหลอมรวม Despicable Me 4 เข้ากับพลังงานใหม่ เพื่อให้มันสามารถร่วมเดินไปพร้อมกับภาพยนตร์ภาคก่อนๆ ขณะที่สร้างเส้นทางที่โดดเด่นขึ้นมาอีกด้วย “การได้ฟังไอเดียต่างๆ ของทางทีมงาน และสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้สร้างผลงานที่ดีที่สุดออกมา คือกุญแจสำคัญครับ” เรโนด์บอก “บ่อยครั้งที่ไอเดียเหล่านี้ช่วยยกระดับฉากต่างๆ จากที่ดีเยี่ยมอยู่แล้วให้กลายเป็นงานสุดยอดเยี่ยม และจิตวิญญาณในการร่วมมือกันนี้ ได้ช่วยกำหนดการเดินทางของพวกเราในการสร้าง Despicable Me 4 ออกมาครับ”
*ไปสนุกกับ Despicable Me 4 หรือ มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 4 พร้อมกัน 4 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์