The Bikeriders เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแก๊งมอเตอร์ไซค์สมมติ เดอะ แวนดัลส์ ผ่านทางสายตาของสมาชิกผู้ก่อตั้ง ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือปี 1968 ของนักข่าวช่างภาพ แดนนี ลีออน ที่รวบรวมมาตลอดสี่ปีที่เขาเป็นสมาชิกของชมรมมอเตอร์ไซค์เถื่อนในชิคาโก้ ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจการที่กลุ่มพวกนอกคอกผู้รักในความเร็วได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแก๊งอาชญากรรมที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นการทรยศคติดั้งเดิมที่ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตของผู้อื่น ท่ามกลางช่วงเวลาของความสับสนวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในอเมริกา ด้วยการเล่าถึงช่วงเวลา 10 ปีที่สำคัญในชีวิตการก้าวไปข้างหน้าของจอห์นนี่ (ทอม ฮาร์ดี้) นักการเมืองอาวุโส, เบนนี่ (ออสติน บัตเลอร์) หนุ่มผู้แสวงหาความตื่นเต้นและเพื่อนพ้องนักซิ่งของพวกเขา ซิปโก้ (ไมเคิล แชนนอน), ฟันนี่ ซันนี่ (นอร์แมน รีดัส), แคล (บอยด์ ฮอลบรู๊ค), บรูซี่ (เดมอน เฮอร์ริแมน), วาฮู (โบ แน็ปป์), ค็อกโร้ช (อีโมรี โคเฮน), คอร์กี้ (คาร์ล กัสแมน) และเดอะ คิด (โทบี้ วอลเลซ) ระหว่างที่พวกเขาเอาชีวิตรอดจากโลกที่โรแมนติกแต่บางครั้งก็รุนแรง ซึ่งยกย่องปืน เหล้า ยาเสพติด และความเป็นอิสระเสรี อย่างที่เคธี่ (โจดี้ โคเมอร์) สมาชิกชมรมคนใหม่เล่าให้แดนนี่ (ไมค์ เฟสต์) ฟังว่าตอนที่ตัวเองอยู่ในบาร์คลับเฮาส์ อยู่ๆ ธอก็กระโจนขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเบนนี่และกลายเป็นแวนดัลส์คนหนึ่ง
ในช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษ ขณะที่สภาพแวดล้อมรอบด้านพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ชมรมนี้ก็ได้เปลี่ยนจากการเป็นที่ชุมนุมของเหล่าแอนตี้ฮีโร่ผู้มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ กลายเป็นอาณาจักรอาชญากรรมที่เลวร้ายมากขึ้น เคธี่และจอห์นนี่พบว่าพวกเขาเกิดความขัดแย้งกันจากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเบนนี่ พวกผู้บุกรุกโลภมากได้เข้ามามีอำนาจและทำให้พวกแวนดัลส์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด การพนัน การฆ่าตามใบสั่ง และการเปิดสงครามกับแก๊งคู่แข่ง ผลักดันให้พวกเขาเดินหน้าเต็มสูบสู่เส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับ
เจฟฟ์ นิโคลส์ คนเขียนบทและผู้กำกับจะมาเล่าถึงเรื่องราวการเนรมิตโลกของ The Bikeriders ภาพยนตร์ที่สมจริง มีความเป็นส่วนตัว และไร้ความประนีประนอม นำเสนอมุมมองแท้ๆ ของนักซิ่งนอกกฎหมาย ที่โลดแล่นอยู่ในจินตนาการมานานกว่าครึ่งทศวรรษ และวัฒนธรรมขบถที่เป็นแหล่งกำเนิดของพวกเขา
คุณได้เจอกับหนังสือของแดนนี่ ลีออนเมื่อไหร่ แล้วเกิดความคิดอย่างรวดเร็วเลยไหมว่าอยากจะสร้างมันเป็นหนัง
ในปี 2003 ครับ ผมคิดทันทีเลยว่ามันมีองค์ประกอบที่จะเป็นหนังเยี่ยมๆ คือตอนที่คุณผสมผสานภาพถ่ายกับบทสัมภาษณ์ในหนังสือเล่มนี้เข้าด้วยกัน มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวัตถุดิบของมื้ออาหารเลิศรส ผมว่าผมใช้คำเปรียบเทียบอีกแบบดีกว่า… มันเหมือนการเดินเข้าไปในห้อง แล้วไม่มีต้นคริสต์มาส แต่ของประดับตกแต่งทั้งหมดวางอยู่บนพื้นตรงหน้าคุณแล้ว หน้าที่ของคุณก็คือการสร้างต้นไม้ แม้ว่าคุณจะมองเห็นสิ่งสวยๆ งามๆ ทั้งหมดพวกนี้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อหาคำตอบว่าจะสร้างต้นไม้ที่จะใช้แขวนเครื่องประดับตกแต่งทั้งหมดนั่นยังไงน่ะครับ
บทของคุณมีเรื่องที่แต่งขึ้นมามากน้อยแค่ไหน
มันเป็นพื้นที่สีเทามากๆ เพราะผมดึงอะไรหลายอย่างจากในหนังสือ ทั้งภาพถ่ายและบทสัมภาษณ์ แต่ไอเดียของรักสามเส้าที่เป็นศูนย์กลางเรื่อง นั่นเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาเองทั้งหมดครับ ส่วนแนวโน้มของชมรมที่เปลี่ยนจากการเป็นกลุ่มชุมนุมกลายเป็นแก๊งอย่างเป็นทางการมากขึ้นในช่วงต้นยุค 70 นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง แต่มันไม่ใช่สารคดี หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของชิคาโก เอาท์ลอว์ ที่เติบโตกลายเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่ผมไม่อยากจะสร้างเรื่องราวของพวกเขา ผมอยากให้มันเป็นนิทานเปรียบเทียบความรู้สึกที่ผมได้รับจากการหยิบจับหนังสือเล่มนี้ การแต่งเรื่องสมมติขึ้นมาก็เลยเป็นเรื่องจำเป็นในการถอยห่างจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ผมต้องสมมติชมรมขึ้นมา ผมต้องสมมติตัวละครที่มีเค้าโครงจากคนจริงๆ ขึ้นมา และคำพูดจริงๆ ของพวกเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่บริบทที่ว่าตัวละครของพวกเขาประพฤติปฏิบัติตัวยังไงและมีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันยังไง ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งหมด และแน่นอนครับ รักสามเส้าระหว่างจอห์นนี่ เคธี่ และเบนนี่ก็เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งหมด
เคธี่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง พูดง่ายๆ ก็คือเธอเป็นดวงตาและหูของเราในโลกใบนี้ อะไรทำให้คุณเกิดความคิดที่จะใช้บทสัมภาษณ์ของเธอเป็นกรอบเรื่อง
บทสัมภาษณ์ของเธอมีความดึงดูดใจที่สุดครับ จากคำอธิบายของเธอที่เธอได้เดินเข้าไปในบาร์แห่งนั้นเป็นครั้งแรก ไปจนถึงภาพที่เบนนี่นั่งอยู่นอกบ้านเธอทั้งคืน มันเป็นเรื่องที่อยู่ในหนังสือและก็น่าติดตามอย่างมาก เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเข้าสู่โลกใบนั้นใช่มั้ยล่ะครับ ฉะนั้นถ้าผมมองหาการแนะนำโลกใบนั้นที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์ที่นั่น มันก็อยู่ตรงนั้นแล้วครับ มันเป็นทำนองว่า ‘เอาละ ถ้าเราจะเริ่มต้นกันจากตรงนั้น ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะใช้เธอเป็นกรอบเรื่อง เป็นเลนส์ในการสังเกตโลกใบนี้’ แต่ผมไม่อยากจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ผมอยากให้เธอเป็นผู้มีส่วนร่วม เธออยู่ในนั้นด้วย และท้ายที่สุด สิ่งที่เธอได้เป็นตัวแทนคือความตึงเครียดของทั้งหมด ซึ่งก็คือความตึงเครียดในความเป็นชาย จริงๆ แล้ว มันเป็นความตึงเครียดในวัฒนธรรมย่อย มีสิ่งต่างๆ แง่ลบทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นได้ชัดเจน ทั้งความรุนแรง ความไม่มั่นคง และสิ่งอื่นๆ อีก แต่ก็มีสิ่งที่สวยงามโรแมนติกด้วย และเคธี่ก็เป็นศูนย์กลางของความตึงเครียดนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะให้เธอเป็นคนที่พยายามตีความโลกใบนี้ให้เรา และในทางปฏิบัติมันยังทำให้ผมมีเวลาด้วย ผมรู้ว่าผมจะแยกบทสัมภาษณ์นั้นออกเป็นสามส่วน ซึ่งก็คือบทสัมภาษณ์ปี 1965 ปี 1969 และปี 1973 ในหนัง เราได้ให้ลายเซ็นด้านเวลากับปี 65 และ 73 เพราะเมื่อเราใส่ปี 69 เข้าไป คนก็จะสับสน และผมก็ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกตะหงิดในใจ แต่สำหรับผมในฐานะนักเล่าเรื่อง มันเป็นฐานตั้งมั่นซึ่งผมสามารถผสมผสานมันและจับมันสลับลำดับกัน ในขณะที่ยังคงรักษาความรู้สึกไหลลื่นของเวลาไว้ได้ มันก็เลยเป็นฐานตั้งมั่นที่ล้ำค่าสำหรับผมครับ
คุณได้พบกับแดนนี่ ลีออน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Bikeriders รึเปล่า
เขาเป็นคนแรกที่ผมติดต่อไป ประมาณปี 2014 ผมส่งอีเมลหาเขา ซึ่งในตอนนั้นผมก็สร้างหนังมาเพียงพอแล้ว ผมมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แล้วผมก็บินไปที่นิวเม็กซิโกที่ที่เขาอยู่ และนั่งลงคุยกับเขา ผมคุยให้เขาฟังอยู่นานเกี่ยวกับวัฏจักร วัฒนธรรมย่อย สังคม และการที่ The Bikeriders เป็นตัวแทนของวัฏจักรนั้นและความหมายของมันในแง่ของบทสนทนาเกี่ยวกับความเป็นผู้ชายและเกี่ยวกับคนนอก เขาส่ายหน้าแล้วบอกว่า ‘โอเค แสดงว่าคุณไม่อยากจะสร้างหนังเกี่ยวกับช่างภาพงั้นเหรอ?’ น่ะครับ
แดนนี่เป็นบุคคลสำคัญด้านวัฒนธรรมของยุคนั้นใช่ไหม
ผมคิดว่าแดนนี่เป็นไอคอนของวงการช่างภาพอเมริกัน และในด้านวารสารศาสตร์แบบใหม่ด้วย ก่อนที่เขาจะถ่ายภาพของหนังสือ The Bikeriders ตอนอายุยี่สิบกว่าๆ ตอนอายุ 19 ปี เขาเป็นลูกชายของหมอฟันในนิวยอร์ก และเขาก็เดินทางไปทางตอนใต้ของอเมริกา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เขาเป็นช่างภาพให้กับคณะกรรมาธิการประสานงานที่ไม่ใช้ความรุนแรงของฝ่ายใต้ และอาจจะได้ถ่ายรูปภาพเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่โด่งดังที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นมา เขาอายุแค่ 19 เองนะครับ ดังนั้น ผู้ชายคนนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่มาแล้ว
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณอ้างถึง The Wild One และ Easy Rider ซึ่งเป็นหนังมอเตอร์ไซค์ชื่อดังในยุคของมัน หนังมอเตอร์ไซค์มีความสำคัญแค่ไหนในตำนานภาพยนตร์อเมริกัน
มันก็ตลกดีนะครับ มันเหมือนนกน้อยในเหมืองถ่านหินในแง่ของการที่วัฒนธรรมนักซิ่งอยู่ในค่านิยมทางวัฒนธรรม และผมพบว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะมองดูและยึดถือวัฒนธรรมป๊อปของหนังมอเตอร์ไซค์ในการศึกษาวัฒนธรรมนักซิ่งนี้ เพราะคุณจะไม่เจอหนังสองเรื่องไหนที่จะมีสุนทรียศาสตร์ที่แตกต่างกันมากเท่านี้ ถ้าคุณดู The Wild One มันเปิดตัวช็อตที่ค่อนข้างน้ำเน่าของมาร์ลอน แบรนโด้บนมอเตอร์ไซค์ปลอมตรงด้านหน้าฉากจำลอง มันให้ความรู้สึกที่หยิ่งทะนงมากๆ แล้วพอมาถึง Easy Rider ซึ่งเป็นหนังอาร์ตที่แปลกประหลาด และมีความเป็นธรรมชาติจริงๆ ที่พยายามจะถ่ายทอดความรู้สึกของช่วงปลายยุค 60s และต้นยุค 70s คุณจะไม่เจอหนังสองเรื่องไหนที่มีความแตกต่างกันทางสุนทรียศาสตร์มากเท่านี้หรอกครับ ทั้งๆ ที่พวกมันห่างกันแค่สิบปีเท่านั้นเอง
แต่ผมคิดว่าพวกมันเป็นป้ายสัญญาณที่เพอร์เฟ็กต์หรือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมและวัฒนธรรมนักซิ่งน่ะครับ
ตัวคุณเองมีความรู้เรื่องมอเตอร์ไซค์มากน้อยแค่ไหน
ผมไม่ค่อยอินกับวัฒนธรรมนักซิ่งซักเท่าไหร่ แต่ก่อนที่จะเขียนบทหนังเรื่องนี้ ผมได้ไปเรียนขี่มอเตอร์ไซค์ เพื่อที่ผมจะได้ไม่เป็นนักต้มตุ๋นจริงๆ! และผมก็ชอบมันครับ ผมติดใจมันเข้าให้แล้ว ผมมีรถรอยัล เอนฟิลด์ อินท์ 650 ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สวยมาก แต่ผมมีภรรยา มีลูก มีครอบครัวต้องเลี้ยงดู… สิ่งสุดท้ายที่ผมควรจะทำคือการซิ่งครับ
ซึ่งก็เป็นแนวคิดของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม
ใช่ครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ใช่สมาชิกของชมรมนี้ พวกเขาไม่ยอมครับ คือมีการพูดคุยกันเยอะ… ในฉากนั้นที่บรูซี่ถูกฆ่า พวกเขาคุยกันถึงเรื่องนั้น มีบทพูดบางอย่างจากบทสัมภาษณ์ ‘มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นสิ่งที่ฆ่าคุณได้ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน‘ และมันก็ให้ความรู้สึกแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่คุณไม่สวมหมวกกันน็อค คุณจะเปราะบางมากๆ แล้วโลกก็สามารถคร่าชีวิตคุณได้ง่ายๆ แบบนั้น ผมคิดว่าการขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนด้วยการรับรู้เรื่องนั้นจะต้องทำให้เกิดอะดรีนาลินพลุ่งพล่านสำหรับหลายๆ คน มันเป็นส่วนหนึ่งของแรงดึงดูดครับ แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะใส่บทพูดพวกนั้นบางส่วน… วาฮู ตัวละครของโบ แน็ปป์ หลังจากฉากงานศพของบรูซี่ก็พูดทำนองว่า ‘นั่นเป็นวิธีการตายแบบที่ฉันอยากได้ วิธีการที่ฉันอยากตายคือตายบนมอเตอร์ไซค์’ นั่นก็เป็นอีกโควทคำพูดหนึ่งจากหนังสือครับ แล้วผมก็จับมันมาประกบกับตัวละครของจอห์นนี่ในชั่วขณะนี้ที่เบื่อหน่ายกับเรื่องงี่เง่าพวกนี้ แบบว่าเงียบซักทีเถอะ หุบปากไปซะ นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะต้องมาฟังการพูดพล่ามอวดความเป็นลูกผู้ชายของนายนะ
คุณล่อลวงทอม ฮาร์ดี้มารับบทจอห์นนี่ได้ยังไง
ใช้เวลาหลายเดือน ผมเป็นเพื่อนกับแจ็ค วิกแฮม ผู้จัดการของเขา เพราะเชีย น้องชายของแจ็คเป็นนักแสดงที่ผมเคยร่วมงานด้วยมาก่อนใน Take Shelter แจ็คเป็นผู้จัดการ และเขาก็ทำหน้าที่ผู้จัดการร่วมของไมเคิล แชนนอนด้วย เราก็เลยรู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดที่ผมส่งบทหนังเรื่องนี้ให้กับเขาครับ เขาโทรมาบอกว่า “ทอมต้องแสดงหนังเรื่องนี้ ทอมต้องแสดงมันให้ได้ นี่เป็นมาร์ลอน แบรนโด้ใหม่ เขาต้องแสดงมัน” แล้วผมก็บอกว่า “ผมเห็นด้วย” ผมก็เลยบินไปลอนดอนเพื่อนั่งคุยกับเขา และเขาก็มีคำถามเป็นล้านๆ คำถามเลย มันเป็นการประชุมที่เข้มข้นมากๆ เห็นได้เลยว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่ตอนนั้นเลยว่าเขาจะแสดงมันรึเปล่า และเขาก็พูดทำนองว่า “ผมนึกภาพการปล่อยให้คนอื่นแสดงบทนี้ไม่ออกเลย” ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกลงปลงใจได้ในที่สุด และเราก็โชคดีมากๆ ผมเองก็นึกภาพคนอื่นรับบทนี้ไม่ออกเหมือนกัน เพราะบทของทอมมีผลกระทบสำคัญต่อการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้มาก ฉากแคมป์ไฟนั่น ที่เขาเสนอชมรมนี้ให้กับเบนนี่เป็นครั้งแรก มันไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างที่มันปรากฏบนหน้าจอ แต่มันออกมาแบบนั้นเพราะทอม ฮาร์ดี้ ทั้งความเย้ายวน ความเข้มข้นนั่น ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะทอมครับ
ออสติน บัตเลอร์ล่ะ คุณได้ดู Elvis รึเปล่า
เทรลเลอร์เพิ่งออกมาก่อนที่ผมจะพบเขาได้สองวัน ผมก็เลยเล็งเขาเอาไว้แล้ว แต่ผมก็เห็นได้จากบางช็อตในเทรลเลอร์ว่า ‘ผู้ชายคนนี้เจ๋งจริง’ โอเค มันน่าสนใจดี ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันจะดังเปรี้ยงปร้างขนาดนั้น แต่ผมก็เลือกเขาด้วยความรู้สึกที่ผมได้จากการอยู่กับเขาในห้อง มาถึงตอนนี้ ผมก็เคยเจอคนดังมาเยอะแล้ว และตอนนี้ ถ้าเขาเดินเข้ามาในห้อง อุณหภูมิจะเปลี่ยนไปครับ เขามีของ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่เขามีของครับ และผมก็รู้ทันทีที่ได้พบเขา นอกจากนั้น เขายังเป็นคนดี ที่มีพรสวรรค์อย่างเห็นได้ชัดด้วย ผมรู้ในทันทีที่ได้พบกับเขาว่าจะไม่มีผู้ชมคนไหนตั้งคำถามว่า ทำไมเคธี่ถึงขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันนั้น ไม่มีใครจะตั้งคำถามว่าทำไมจอห์นนี่ถึงอยากจะให้ชมรมนี้กับเขา เขามีเสน่ห์ดึงดูด และเขาก็ใช้เสน่ห์นั้นได้อย่างดีครับ
แล้วโจดี้ โคเมอร์ล่ะ เป็นยังไงบ้างที่ได้เห็นกระบวนการสร้างตัวละครของเธอ
เหลือเชื่อเลยครับ วันหนึ่งเธอทิ้งการบ้านของเธอเอาไว้ คุณก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีบทพูดมากแค่ไหน แต่เธอได้เขียนคำอ่านของคำทุกคำในบทเอาไว้ การทำงานแบบนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำให้คนมองไม่เห็นเรื่องนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคุณจะมองไม่เห็นมันหรอกครับเมื่อทุกอย่างประกอบเข้าด้วยกัน ผมทึ่งกับการได้ดูใบหน้าของเธอขณะที่ผมฟังบทพูดของเธอ หรือกระทั่งดูท่าทีของเธอ ลักษณะที่เธอสูบบุหรี่ ลักษณะที่เธอวางมาด ลักษณะที่เธอเดินออกไปจากห้อง มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ครับ ผมมีประสบการณ์เดียวกันกับรูธ เนก้าใน Loving ดวงตาของพวกเธอใหญ่มาก และพวกเธอก็ขึ้นกล้องมากเพราะมีอะไรต่อมิอะไรมากมายในนั้น มันเหมือนกับว่าคุณสามารถดำดิ่งเข้าไปในดวงตาของพวกเธอได้ มันเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมพูดชมเธอได้ไม่รู้จบทั้งในฐานะนักแสดงและมนุษย์คนหนึ่ง ผมโชคดีมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่เก่งที่สุดในโลกหลายคน และผมคิดว่าเธอก็เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เก่งที่สุดในโลกด้วย
*The Bikeriders กำหนดเข้าฉาย 27 มิถุนายน 2567 ในโรงภาพยนตร์