บีเทิลจู๊ดส์กลับมาแล้ว! ทิม เบอร์ตัน ผู้เคยชิงรางวัล Oscar และมีจินตนาการสร้างสรรค์เฉพาะตัวกับ ไมเคิล คีตัน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar และนักแสดงได้กลับมาร่วมงานกันในเรื่อง Beetlejuice Beetlejuice ผลงานภาคต่อจากเรื่อง Beetlejuice ของเบอร์ตันที่ได้รับรางวัลและมีการเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน โดยครั้งนี้เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากเหตุอันน่าสลดในครอบครัวที่คาดไม่ถึง ครอบครัวดีทซ์ทั้ง 3 ชั่วอายุต้องกลับมายังบ้านที่วินเทอร์ริเวอร์ ที่นั่นยังมีบีเทิลจูซ (ไมเคิล คีตัน) สิงอยู่ ชีวิตของลิเดีย (วิโนน่า ไรเดอร์) ต้องพลิกผันเมื่อลูกสาววัยรุ่นหัวรั้น แอสทริด (เจนน่า ออร์เทก้า)พบโมเดลจำลองเมืองลึกลับในห้องใต้หลังคา และทำให้ประตูสู่ชีวิตหลังความตายเปิดออกมาโดยความไม่ตั้งใจ สร้างปัญหาขึ้นทั้ง 2 ฝั่ง เรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นจนกระทั่งมีผู้เอ่ยชื่อบีเทิลจูซ 3 ครั้ง ปีศาจซุกซนจึงกลับมาปลดปล่อยความโกลาหลตามแบบฉบับของตัวเองออกมา
พูดคุยกับทิม เบอร์ตัน (ผู้กำกับฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ)
การกลับมาพบกับบีเทิลจู๊ดส์
หลังจากผลงานภาคแรก มีการคุยกันมากมายถึงความเป็นไปได้ของภาคต่อ มีหลากหลายไอเดียเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายปี แต่ยังไม่เจออะไรที่ลงตัวสำหรับผมจริงๆ พอเวลาผ่านไป 35 ปี สิ่งที่ทำให้ผมสนใจและตื่นเต้นจริงๆ คือเรื่องชีวิต เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวดีตซ์บ้าง? เวลาผ่านไป 35 ปี เกิดอะไรขึ้นกับลีเดีย เด็กวัยรุ่นที่ดูมีความน่าสนใจคนนี้? และสำหรับผมมองว่าเธอได้เริ่มสัมผัสกับชีวิตของตัวเองแล้ว เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความน่าสนใจ แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่บ้าง? มีลูกหรือยัง? ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง? เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน? มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนเมื่อเราอายุมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ ลูกๆ และทุกอย่าง นั่นคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ผมกลับมาสนใจเรื่องราว เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวดีตซ์บ้าง มันส่งผลต่อความรู้สึกของผมมากพอควรในการได้กลับไปพบกับตัวละครเหล่านี้
การสร้างภาคต่อที่มอบความรู้สึกแบบเดียวกัน
ผมได้ใช้เทคโนโลยีและผ่านหนังฟอร์มยักษ์มามากมาย แต่ผมกลับคิดถึงความรู้สึกนั้น มันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเริ่มผลงาน Pee-wee’s Big Adventure ผมรู้สึกแบบนั้น นันคือผลงานช่วงแรกๆ มีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเรายังใหม่กับมัน หลังจากนั้นผมได้ใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากมาย แต่ยังคงใช้เอ็ฟเฟ็กต์จริงและพวกหุ่น การแต่งหน้า และฉากต่างๆ มันคือส่วนหนึ่งของความรู้สึกในภาพยนตร์แบบนั้น มันมีพลังและอารมณ์บางอย่างโดยธรรมชาติ แม้ว่าเราจะมีการใช้เอ็ฟเฟ็กต์จริง แต่เรายังกลับไปใช้มันในบางส่วน บางครั้งในชีวิตเราก็พบกับเรื่องประหลาดใจ ซึ่งมันสร้างความตื่นเต้นไว้เยอะมาก นั่นคือหนึ่งในนั้น แต่เมื่อความเซอร์ไพรส์คือสิ่งที่เราคิดได้ เราไม่รู้อะไรเลยนอกจากเซอร์ไพรส์
ไมเคิล คีตัน และการกลับมาหาบีเทิลจู๊ดส์
เราคุยกันถึงเรื่องนี้มานานหลายปี และผมคิดว่าเรามีความคิดคล้ายกัน หากมีบางอย่างที่รู้สึกว่าใช่ก็จะเดินหน้าไปกับมัน ที่ผ่านมายังไม่เจอจังหวะนั้น แล้วมันก็เกิดขึ้นมาได้ เราคุยกันและเขารู้สึกสบายใจ เราก็เลยกลับมาหามันด้วยกัน การร่วมงานกับไมเคิลเหมือนการวนเวียนไปมา เขามีพลังและมีความสนใจในการรับบท เหมือนการร่วมงานกับนักสู้ชิงรางวัล “โอเค มาลองทำแบบนั้นแบบนี้กันเถอะ” แต่เขาเป็นคนที่ฉลาด สนุกสนาน และนิสัยดีมาก เราจะได้บางสิ่งกลับไปเสมอเวลาร่วมงานกับคนแบบเขา เช่นเดียวกับทุกคนในเรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่การแสดง แต่พวกเขามอบบางสิ่งกลับมาให้ด้วย มันเป็นการส่งกลับไปมาถึงกันตลอดและทให้การทำงานมีความตื่นเต้นมาก มันดูน่าทึ่ง มันเหมือนกับงานแต่ง งานศพ งานรวมตัว หรืออะไรสักอย่างที่มีความแปลก มันแปลกและงดงามมากสำหรับผมที่ได้เห็นทุกอย่างกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
แคทเธอรีน โอ’ฮาร่า, วิโนน่า ไรเดอร์ และ เจนน่า ออร์เทก้า
มันวิเศษมากเวลาที่เราได้พบใครที่เราไม่เจอหน้ามาพักใหญ่ จากนั้นได้กลับมาร่วมงานกัน ผมไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่ามันนานหลายสิบปีแล้ว ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน มันน่าทึ่งมากที่เกิดขึ้นได้ วิเศษจริงๆ มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่ได้เห็นพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นั่นคือการสร้างสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้น แคทเธอรีนเคยร่วมงานในภาคแรก เธอเข้าใจตัวละครของเธอดี เธอมีพรสวรรค์และเก่งมาก มันคือความสนุกของผมเลย บางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในบทหน้ากระดาษกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ มีอะไรอีกหลายอย่างเกิดขึ้น เธอช่วยเรื่องตัวละครของเธอได้มาก ส่วนวิโนน่าเองก็เช่นกัน ตัวละครนั้นทำให้ผมกลับมาหา รวมถึงตัวละครลีเดียที่คอยสื่อสารกับผม จนเวลาหลายปีผ่านไปก็รู้สึกว่า “โอเค ฉันคือตัวละครนั้นละ เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทำอะไรถูกต้องไปบ้าง? ทำอะไรผิดไปบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเมื่ออายุมากขึ้น?” และการร่วมงานกับเจนน่าในเรื่อง Wednesday รู้ว่าเธอมาจากดิสนีย์ จากนั้นก็เข้าสู่ภาพยนตร์สยองขวัญโดยธรรมชาติ ผมรู้สึกผูกพันกับเธอ รู้สึกประทับใจจากเรื่อง Wednesday ประทับใจในความสามารถของเธอ เธอมีพรสวรรค์สูงมาก และเธอยังถ่ายทอดบางมุมออกมาได้อีกด้วย เธออยู่ในโลกใบนั้นแต่เป็นบทที่มีความสำคัญมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับทุกอย่างด้วย เธอมีพลังดึงดูดในหลายอย่าง ลงตัวเหมาะสมและเพิ่มบางสิ่งลงไปในบทได้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
จัสติน เทอรู, โมนิก้า เบลลุชชี และ วิลเล็ม ดาโฟ
จัสติน เทอรูทุ่มเทอย่างหนักมาก เพราะเขาเป็นนักเขียนบทฯ ด้วย เขาเป็นคนที่เก่งมาก และตัวละครของเขาก็มีความเจ้าเล่ห์เสมอ แต่เขาถ่ายทอดความลึกซึ้งและมุกตลกออกมาได้ เขาให้ความช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน วิลเล็ม ดาโฟคือคนที่ผมอยากร่วมงานด้วยเสมอ ผมเป็นแฟนของเขามาโดยตลอด การมีโอกาสร่วมงานกับคนแบบนี้เป็นเรื่องที่วิเศษมาก และเขาคอยให้ความช่วยเหลือจริงๆ นั่นคือการร่วมงานกันที่ดีมาก เหมือนเราสร้างผลงานที่ไม่มีใครเข้าใจได้จริงๆ วาเรากำลังทำอะไรอยู่ ในเฟรมนั้นทุกคนพยายามสร้างผลงานบางอย่างขึ้นมา มันมีความสนุกในการได้เข้าฉากและพูดว่า “เฮ้ ลองทำแบบนี้สิ ลองทำแบบนั้นสิ” จากนั้นพวกเขาก็ลองทำทุกอย่าง และโมนิก้า เบลลุชชีก็แสดงความแกร่งออกมาได้ด้วย ครั้งแรกที่เราสร้างตัวละครขึ้นมา ผมไม่เคยนึกภาพออกเลย แต่พอได้พบกับโมนิก้า ได้รู้จักเธอและความรู้สึกของเธอ มันลงตัวกับความต้องการของผมที่จะทำงานในหนังสยองขวัญอิตาเลียน เหมือนอยากจะเป็นมาริโอ บาวา จูเนียร์ ในการสร้างหนังแนวนี้มันเหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับผมเลย ได้ถ่ายทำฉากเหล่านั้นเป็นอะไรที่สนุกและเพลิดเพลินมากเท่าที่เคยทำมาเลย เดอโลเรสมีพลังเหนือธรรมชาติ เราขอให้คนอื่นทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย บางคนอาจจะมีอะไรแบบนั้นหรือไม่มีเลย ซึ่งแน่นอนว่าเธอมีพลังนั้น แม้เราจะไม่อยากพูดถึงมัน แต่มันคือสิงที่เกิดขึ้นจริง มันวิเศษมากเลย
บนหน้าจอกล้อง
เราพยายามใช้เอ็ฟเฟ็กต์จริงให้ได้มากที่สุดทั้งหมด เราเลือกดิจิตอลช่วยน้อยมาก เราสร้างผลงานแปลกๆ ขึ้นมาโดยรู้สึกว่าเป็นการแสดงผลงานศิลปะอย่างหนึ่ง เช่น การแนะนำตัวละครเดอโลเรสของโมนิก้า เราเพิ่มรายละเอียดบางอย่างผ่านดิจิตอล แต่ส่วนสำคัญเราใช้การถ่ายทำจริงทั้งหมด เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับผม ตั้งแต่เอ็ฟเฟ็กต์ไปถึงฉากและทุกอย่าง ทั้งหมดไม่ต้องการดิจิตอลเลย เราแค่ย้อนกลับไปหามันและสร้างผลงานขึ้นมาเหมือนในอดีต เลยรู้สึกเหมือนการแสดงผลงานศิลปะที่ดูประหลาดและต้องใช้เวลาพอควร แต่สำหรับผมมันก็คุ้มค่านะ
ภาพร่างต่างๆ / ชีวิตหลังความตาย
ผมมีการร่างภาพบางส่วนในเรื่องนี้ และผมก็สนุกกับมันด้วย โชคดีที่ได้ร่วมงานกับคนที่ถ่ายทอดภาพร่างของผมออกมาได้ ผมมีการวาดตัวละครตรงนั้นและตรงนี้ขึ้นมาบางตัว ซึ่งบางตัวได้มาอยู่ในเรื่อง ส่วนบางตัวผมก็จะเก็บไว้ในรูปแบบ DVD พิเศษ มีส่วนต่างกันแค่บางมุมที่ไม่ได้เอาไปใส่ในหนัง มันให้อารมณ์เหมือนการสร้างแอนิเมชั่นที่ทุกคนให้ความช่วยเหลือ ผมวาดภาพบางส่วน [ผู้ควบคุมการสร้างภาพเคลื่อนไหว/การแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์] นีล สแกนแลนสร้างเอ็ฟเฟ็กต์ทั้งหมดขึ้นมา และทีมงานของเขาก็ช่วยสร้างเอฟเฟกต์ มันเหมือนกับการแข่งขันอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำงานที่สนุกดีครับ
ทุกอย่างเหมือนเต็มไปด้วยความอิสระ ผมมีไอเดียบางอย่าง มีภาพร่าง จากนั้นผมก็เอาไปให้ทุกคนดู ทั้งแผนกศิลป์ แผนกแต่งหน้า ฝ่ายดูแลงานศิลปะ ทุกคนจะได้เห็นมัน เป็นการแชร์ไอเดียทั้งหมดที่มีร่วมกัน มีบางอย่างที่ผมสร้างขึ้นมาแล้วยังดูไม่ลงตัวนัก แต่ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ เช่น การคัดเลือกนักแสดง เราลองนำมาผสมและจับคู่ให้ลงตัว ผมเคยร่วมงานกับนีลมาก่อน เขาก็เหมือนกับนักแสดง เขาสร้างความรู้สึกที่ลงตัว เพราะเราใช้เอ็ฟเฟ็กต์จริงเยอะมาก แต่ใช้เวลาเพียงนิดเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตลอดไป เราเลยชอบการทำงานด้วยความรู้สึกนั้น อย่างแทนที่จะสร้างหุ่นขนาดยักษ์ขึ้นมา เราก็ย่อส่วนเหลือเพียงตุ๊กตา ใส่ไม้เข้าไปในนั้นและทำให้มันลงตัว จนเรารู้สึกเหมือน “เข้าไปในร้านของเล่นกันเถอะ ไปหาซื้ออะไรกันและเอากลับมาสร้างผลงาน” ทุกอย่างจะมารวมตัวกันจนเกิดเป็นการสร้างตัวละครชีวิตหลังความตายขึ้นมา
ประสบการณ์เข้าสู่โรงภาพยนตร์ที่เติบโตขึ้น
ใช่เลย ที่เบอร์แบงค์มีโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง [แคลิฟอร์เนีย] ชื่อ Cornell Theater ที่นั่นฉาย 3 เรื่องในราคา 50 เซนต์ แน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมประสบการณ์ครั้งแรกของที่นั่นเลย จำได้ว่าเข้าไปดูเรื่อง Jason and the Argonauts เป็นเรื่องแรกและยังคงจำได้อยู่ ความรู้สึกนั้นมันมีความสำคัญต่อคุณหรือต่อผม และผมคิดว่ามันให้อะไรมากกว่านั้น นั่นคือสิ่งที่พิเศษมาก เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับโรงภาพยนตร์หรือทีวี จนรู้สึกว่า “มันจะเป็นอย่างไรต่อไป?” และผมคิดว่าโชคดีที่เรามองว่าภาพยนตร์คือสิ่งสำคัญ การได้เข้าไปดูหนังบนจอยักษ์ อย่างหนังเรื่องนี้ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อจอยักษ์ เราต้องสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาได้บนหน้าจอกล้อง เราต้องสร้างให้เหมาะกับขอบเขต ขนาด และเสียงทุกอย่างที่อยู่ในโรงหนัง มันมีความสำคัญมากเลยครับ และโชคดีที่ผมคิดว่าเหตุการณ์สำคัญนั้นมันลดลงไปเพียงเล็กน้อย ทุกคนยังรู้สึกถึงความสำคัญและความงดงามของการเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์
*BEETLEJUICE BEETLEJUICE กำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ 5 กันยายนนี้